หรือพวงทอง ภวัครพันธุ์ จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยทางการเมืองในรอบสี่ปีที่ผ่านมา?

ผมเขียนโพสต์นี้เพื่อบันทึกไว้ว่า วันนี้พวงทอง ภวัครพันธ์ โพสต์แบบสาธารณะ ทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองแก้ตัวให้ปิยบุตรและพรรคอนาคตใหม่กรณีดร็อปเรื่อง 112 เมื่อสี่ปีก่อน โดยพวงทองเขียนว่า “ทบทวนสิ่งที่ให้สัมภาษณ์ประชาไทเกี่ยวกับพรรคอนาคตใหม่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มาวันนี้ยืนยันว่าที่พูดไปถูกต้อง ยกเว้น ผิดตรงจำนวน สส. ที่ อนค. ได้มามากกว่าที่คาดไว้เท่านั้น

พวงทองทิ้งท้ายด้วยข้อความว่า “ปล. บทเกริ่นยาวนี้คือการตอบโต้พวกช่วลที่ด่าเรากับ อ.ปิยะบุตร แต่ป่านนี้หายไปไหนก็ไม่รู้ รออยู่ว่าเมื่อไรเขาจะออกมานำการรณรงค์ให้ยกเลิก 112 สักทึ

ดูโพสต์ต้นทาง

บทเกริ่นยาวที่ว่า พวงทองไม่ได้เปิดเผยแบบสาธารณะ จึงขอไม่ลงรายละเอียด แต่เอาเป็นว่า บทเกริ่นยาวนั้นรวมถึงโพสต์นี้คงจะวิจารณ์ผมโดยตรง (“พวกช่วล”) เพราะสี่ปีก่อนผมตั้งคำถามถึงพวงทองในเรื่องการดีเฟนด์ปิยบุตรและพรรคอนาคตใหม่ในกรณีการดร็อปเรื่อง 112 ทั้งที่ไม่จำเป็น (ดูบทสัมภาษณ์พวงทองใน Prachatai English) รวมถึงเรียกร้องว่าแทนที่จะเอาแต่เชียร์พวกเดียวกัน เราช่วยกันเรียกร้องให้พรรคและนักการเมืองมีลักษณะที่ก้าวหน้าขึ้นดีไหม

(ดูโพสต์ต้นทา)

พวงทองเขียนต่อในคอมเม้นวันนี้ว่า “จริงๆ เมื่ออนค, ก้าวไกล, ก้าวหน้า พิสูจน์ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็คิดถึงบทสัมภาษณ์นี้ตลอดว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้น ไม่ผิด แล้วก็สงสัยว่าคนที่ถล่มเราและปิยะบุตรในวันนั้น เขาคิดอย่างไรในวันนี้ เขายอมรับบ้างไหมว่าตัวเองผิดที่ด่วนประณามตราหน้าคนอื่น


ความจริงจนกระทั่งเห็นคอมเม้นนั้น ผมไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงอะไรด้วย เพราะผมยึดถือข้อคิดที่พวงทองเขียนเอง (ใน “บทเกริ่นยาว”) เป็นสรณะ ข้อคิดนั้นคือ “โดยเฉพาะในเวที ฟบ ที่มักจบลงด้วยดราม่า โจมตีดูถูกเหยียดหยามใส่กัน ลากพาการถกเถียงไปลงเหว บ่อยครั้งก็เป็นพวกมากลากกันไป วิกฤติการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ทำให้ฉันเชื่อว่าเราไม่สามารถมี meaningful discussion ทั้งในปัญญาชนหมู่ฝ่ายขวาหรือฝ่ายทวนกระแสได้เลย” นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลิกเล่นเฟสบุ๊ค และน่าเศร้าที่พวงทองเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

แต่ด้วยความแปลกใจว่าทำไมคนอย่างพวงทองถึงไม่ยอมรับและเรียนรู้ข้อผิดพลาดของตนเอง จึงขอเขียนบันทึกส่วนตัวสั้นๆ เพื่อจดจำเอาไว้ว่าพวงทองและปัญญาชนจำพวกหนึ่งในสังคมไทย คงไม่ได้เรียนรู้อะไรทางการเมืองเลย หากทุกวันนี้ ผ่านไปสี่ปีตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ประกาศไม่แตะต้อง 112 ยังสรุปได้ว่าการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของตนในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ทำไมผมคิดอย่างนั้น?

  1. ประเด็นหลักของบทสัมภาษณ์พวงทอง คือการบอกว่าการดร็อป 112 นั้นเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง เพราะการเคลื่อนไหวทางการเมืองควรทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีปัญหาอื่นๆ ที่พรรคต้องการแก้ไขซึ่งพวงทองเห็นว่าสำคัญ (ลบล้างผลพวงรัฐประหาร แก้ไขรัฐธรรมนูญ) ถ้าไปทำเรื่องสถาบันกษัตริย์แต่แรกก็จะโดนยุบโดยที่ไม่ทันได้ทำอะไร

    ความจริงสิ่งที่พวงทองพูดนั้น เป็นข้อแก้ตัวง่ายๆ ที่นักการเมืองใช้ ซึ่งทุกวันนี้เมื่อมีกระแสเรียกร้องกับนักการเมืองมากขึ้น นักการเมืองก็ยังอ้างข้ออ้างทำนองนี้อยู่เพื่อไม่ต้องแตะต้องเรื่องสถาบันกษัตริย์

    ดังนั้นใจกลางข้อถกเถียงนี้ คือท่าทีที่เราควรมีต่อนักการเมืองในเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ พวงทองใช้ท่าทีที่นักการเมืองทุกวันนี้คงชอบ คือการลดทอนความสำคัญของประเด็นเรื่องสถาบันกษัตริย์โดยเห็นว่าประเด็นอื่นก็มีความสำคัญพอๆ กันหรือมากกว่า ดังนั้นแล้วการประกาศออกมาว่าจะไม่แตะต้อง 112 จึงไม่มีปัญหาอะไร

    ท่าทีแบบพวงทองเมื่อสี่ปีที่แล้ว ซึ่งพวงทองยังยืนยันว่าถูกต้องนี้ เป็นปัญหาแน่ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เราพยายามเรียกร้องให้นักการเมืองพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์มากขึ้น พวงทองกลับยืนยันจุดยืนว่า ในทางยุทธศาสตร์แล้วการที่นักการเมืองออกมาแก้ตัว ประกาศว่าไม่แตะเรื่องสถาบันกษัตริย์เพื่อความอยู่รอดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

    เรื่องตลกก็คือปิยบุตรเอง หลังจากพรรคโดนยุบ และมวลชนออกมาเคลื่อนไหวเรื่องสถาบันกษัตริย์แล้ว ก็ย้อนกลับไปประเมินว่าตัวเองพลาดที่รีบดร็อปเรื่อง 112 รวมถึงเคลื่อนเรื่องสถาบันกษัตริย์น้อยเกินไป (ดูบทวิจารณ์ของผมในบล็อก) แต่ปัจจุบันพวงทองยังออกมาถือหางปิยบุตรเวอร์ชั่นในอดีตอยู่
  2. การเกิดขึ้นของม็อบที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในแง่หนึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตร และรวมถึงคนอย่างพวงทองที่คอยดีเฟนด์พรรค เพราะในเมื่อนักการเมืองไม่เคลื่อน และปัญญาชนทวนกระแสอย่างพวงทองและอีกจำนวนมากก็เอาแต่เชียร์นักการเมือง นักศึกษาและประชาชนเลยต้องออกมาเคลื่อนไหวเองและถูกจับกุมดำเนินคดี (ดูบทความของผมในบล็อก)

    การดร็อปเรื่อง 112 จึงเป็นเรื่องที่ผิดพลาดเพราะเป็นการพลาดโอกาสที่พรรคและนักการเมืองจะได้เอาเรื่องใต้พรมขึ้นมาพูดอย่างเปิดเผย อย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นการผลักภาระให้คนทั่วไปต้องออกมาเสี่ยง แล้วสุดท้ายจนถึงวันนี้ก็ต้องมาเรียกร้องให้นักการเมืองออกมาพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์กันอยู่ดี
  3. ทุกวันนี้มีกระแสว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบพรรคในกรณีการอภิปรายเรื่องงบประมาณสถาบันกษัตริย์ แต่เนื่องจากผ่านไปสี่ปี พรรคมีการเรียนรู้ เขาเลยกล้าออกมายืนยันว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้อง เขาเรียนรู้ว่าอะไร? เอาง่ายๆ คือถ้าผู้มีอำนาจเขาจะยุบ ยังไงเขาก็ยุบ ดังนั้นผลักดันเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ตามที่มวลชนเรียกร้องไปเลยดีกว่า ส่วนถ้าพวงทองมั่นคงในจุดยืนว่าสี่ปีที่แล้วตนเองคิดถูก ก็อาจจะต้องเรียกร้องให้พรรคก้าวไกลในวันนี้แสดงความจงรักภักดี ยกเลิกแตะต้องสถาบันกษัตริย์เพื่อความอยู่รอดของพรรคล่ะมั้ง
  4. ในส่วน “ปล.” ที่พวงทองกระแนะกระแหนว่า “บทเกริ่นยาวนี้คือการตอบโต้พวกช่วลที่ด่าเรากับ อ.ปิยะบุตร แต่ป่านนี้หายไปไหนก็ไม่รู้ รออยู่ว่าเมื่อไรเขาจะออกมานำการรณรงค์ให้ยกเลิก 112 สักทึ” นี่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเพราะว่า lame มาก

    คือจะแตะต้อง วิจารณ์ เรียกร้องอะไรกันไม่ได้เลยหรือ? ต้องไล่ให้ไปทำเองตลอดเลยหรือ? ความจริงตั้งแต่สี่ปีก่อนตอนวิจารณ์ปิยบุตร เขาก็บอกให้คนที่สนใจเรื่อง 112 ไปเคลื่อนไหวเองเหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือในขณะนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ ปิยบุตรอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ๆ จะทำได้ (ทั้งสถานะนักการเมือง ทั้งความรู้ความสามารถ) จึงเป็นปกติที่จะมีการเรียกร้อง แต่ตอนนั้นเขาไม่ทำ และตอนนี้ก็ออกมายอมรับว่าพลาด

    ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมามีคนหลายกลุ่มช่วยกันเคลื่อนไหวรณรงค์ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ทั้งอย่างเปิดเผยและปิดลับ ถูกดำเนินคดีกันก็มาก พวงทองก็ยังเล่นมุกให้พวก “ช่วล” ออกมานำการรณรงค์อยู่อีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเรียกร้องกับใคร? พวกนักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่เคลื่อนไหวเรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อย่างแข็งขันนี่ พวงทองเรียกพวกเขาว่าอะไร? จะนับคนกลุ่มนี้ว่าพวก “ช่วล” ด้วยหรือเปล่า? แทนที่พวงทองจะเล่นมุกแบบนี้ มาช่วยกันเรียกร้องกับนักการเมืองให้มากขึ้นจะดีกว่า

แต่พวงทองคงไม่ไปเรียกร้องอะไรกับนักการเมือง เพราะผ่านไปสี่ปี พวงทองก็ยังเป็นมนุษย์จำพวกเดิม คือจำพวกคอยดีเฟนด์พรรคการเมืองและพวกเดียวกัน

วันนี้พวงทองพูดว่า “อนาคตใหม่ ก้าวไกล ก้าวหน้า ได้พิสูจน์ตัวเอง” ราวกับว่าพวกนี้มีแผนการซ่อนเร้นเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าซักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาก็จะออกมาผลักเพดานเคลื่อนไหวเรื่องสถาบันกษัตริย์ (ตลกตรงที่ฝ่ายอำนาจนิยมก็คิดแบบเดียวกับพวงทองนี่แหละ) ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนพวกนี้ไม่มีอะไรจะพิสูจน์จนกระทั่งพรรคโดนยุบและมีแรงกดดันจากนักศึกษาประชาชนที่กล้าหาญเคลื่อนไหวปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ด้วยตัวเอง

ผมยังเชื่อเหมือนเดิม อย่างเมื่อสี่ปีก่อนว่านักการเมืองเป็นอาชีพๆ หนึ่ง จุดยืนอาจเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และความอยู่รอด ส่วนพลเมืองนั้นมีหน้าที่ในการตรวจสอบ เรียกร้องนักการเมืองให้ดันเพดานทางการเมืองให้สูงขึ้น ในแง่นี้พรรคก้าวไกลที่หน้าตาเป็นแบบทุกวันนี้ก็เพราะมวลชนบนท้องถนนได้ดันเพดานให้สูงขึ้น นี่คือสังคมประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น สิ่งที่เราต้องการน้อยที่สุดคือสภาวะ “ติ่ง” พรรคนั้น “นางแบก” พรรคนี้ สิ่งที่เราต้องการคือพลเมืองที่มีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์

ผมยังยืนยันว่าสี่ปีที่แล้ว ปิยบุตรพลาด อันนี้ปิยบุตรก็อาจจะยอมรับว่าผมถูกก็ได้ จากการที่เขาออกมายอมรับความผิดพลาด

ส่วนพวงทองที่คิดว่าตัวเองยังถูกอยู่จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ไม่รู้จะว่าอะไร นอกจากจะสรุปได้ว่าพวงทองไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยในทางการเมืองในรอบสี่ปีที่ผ่านมา

Author: Din Buadaeng

A History Student

Leave a comment